วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ASEAN+6 ศิระ น้อมพิทักษ์เจริญ


 "อาเซียน +6" ก็คือ การรวมกลุ่มกันของ 16 ประเทศ ที่ประกอบไปด้วยกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม, พม่า, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, ลาว, สิงคโปร์, ไทย และเวียดนาม รวมกับประเทศที่อยู่นอกอาเซียนอีก 6 ประเทศ คือ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งหากนับจำนวนประชากรในกลุ่มนี้แล้ว จะพบว่า อาเซียน +6 มีประชากรรวมกันกว่า 3 พันล้านคน หรือคิดเป็น 50% ของประชากรโลกเลยทีเดียว




นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมทำข้อตกลงการเปิดการค้าเสรี ด้วยการจัดตั้งประชาคมอาเซียนขึ้น พร้อมกับผนวกกำลังของแต่ละกลุ่มการค้าเข้าด้วยกัน เพื่อให้กลุ่มประเทศอาเซียนสามารถดำเนินเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น





 เมื่อได้ข้อสรุปดังนี้ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจึงมีมติให้ศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศอาเซียน+6 (CEPEA) ในระยะที่ 2 โดยเน้นเรื่องความร่วมมือ (Cooperation), การอำนวยความสะดวก (Facilitation) และการเปิดเสรี (Liberalization) ที่จะช่วยสร้างความสามารถของประเทศสมาชิก เพื่อรองรับการเปิดเสรีภายใต้อาเซียน+6 (CEPEA) 
            ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันที่ 13-16 สิงหาคม พ.ศ. 2552 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญก็ได้ข้อสรุปว่า การจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศอาเซียน+6 (CEPEA) ควรให้ความสำคัญเรื่องความร่วมมือเป็นอันดับแรก พร้อมกับเน้นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละประเทศ รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Transfer of Technology) และสร้างความเข้มแข็งให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมทั้งควรพิจารณาจัดตั้งกองทุนเอเชียตะวันออก เพื่อช่วยรองรับโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น และสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาต่อไป





หากวัดเฉพาะประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว ค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จะเพิ่มขึ้น 3.83% และเมื่อดูเฉพาะของประเทศไทยแล้วจะพบว่า ค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจะเพิ่มขึ้นถึง 4.78% เลยทีเดียว ในขณะที่ประเทศ+6 มีค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เพิ่มขึ้น 2.6%





นอกจากนี้ CEPEA จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกรรมทางการค้าลง อันเนื่องมาจากกฎระเบียบที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน (Harmonized market rules) ดังจะเห็นได้ว่า หัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดการร่วมกลุ่มกันเป็นอาเซียน +6 ก็คือ ผลประโยชน์ทางด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่า การรวมกลุ่มกันเช่นนี้จะช่วยให้ประเทศสมาชิกได้ประโยชน์มหาศาล อีกทั้งยังเป็นการยกระดับขีดความสามารถของแต่ละประเทศให้สูงขึ้น เพื่อแข่งขันกับภูมิภาคอื่น ๆ ได้อีกด้วย










วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

สวัสดีค่ะ ดิฉัน ปรียาภรณ์ หอมนาน จะมานำเสนอบทความเรื่อง เขตการค้าเสรี ไทย - อินเดีย ซึ่งจะนำเสนอโดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ นะค่ะ




















สวัสดีค่ะ ดิฉัน นางสาวสุวิมล  ปาหนองแปน จะมานำเสนอเรื่อง  NAFTA ซึ่งจะมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้ ค่ะ




วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

สวัสดีค่ะ ดิฉัน นางสาวฐานะมาศ คำมั่น จะมานำเสนอบทความเรื่อง SAFTA โดยมีเนื้อหาและรายละเอียดดังต่อไปนี้ นะค่ะ



เพื่อนๆหลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อองค์กรนี้เลยก็ได้ องค์กรนี้นะค่ะก่อตั้งมาเป็นระยะเวลานานแล้วค่ะ แต่มีประเทศสมาชิคน้อยราย เลยทำให้ไม่ได้เป็นที่สนใจจากภายนอก



SAFTA เป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจรูปแบบหนึ่งที่รัฐบาลเอเชียใต้ 7 ประเทศ ซึ่งได้แก่ เนปาล บังคลาเทศ ปากีสถาน ศรีลังกา ภูฏาน หมู่เกาะมัลดีฟส์ และอินเดีย



SOUTH ASIA ECONOMICS UNION หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่า SAFTA เป็นนโยบายการสร้างเขตการค้าเสรี และเป็นก้าวแรกสู่การรวมตัวทางเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์ในภูมิภาคเอเชียใต้






SAARC เป็นองค์กรที่มีการพัฒนาอย่างเชื่องช้ามากและไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และถือได้ว่าเป็นองค์กรที่อ่อนแอที่สุดในโลก เพราะประเทศสมาชิกส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ยากจน จึงยากในการพัฒนา และเป็นองค์กรที่มีความหลากหลายของเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมมาก ความแตกต่างนี้ทำให้เกิดปัญหาในการตกลงทำการค้าต่างๆ










ขอจบการนำเสนอไว้เพียงนี้ ขอบคุณค่ะ 

Inter Trade Economics ((MERCOSUR))

 สวัสดีค่ะ ดิฉัน ปณัญญา ทิพย์อำพร จะมานำเสนอบทความเรื่อง MERCOSUR โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ นะค่ะ


     เริ่มแรกเลยนะค่ะ ดิฉันอยากให้เพื่อนๆได้ทราบถึงภูมิหลังของ MERCOSUR ว่ามีการก่อตั้งกันได้ยังไง และ เพื่อให้เพื่อนๆได้ทราบกัน เพื่อนๆสามารถดูได้จากภาพที่ดิฉันลงไว้นะค่ะ เราไปดูกันเลยดีกว่า


ต่อมานะค่ะ เราจะมาทราบถึงประเทศสมาชิกของ MERCOSUR กันนะค่ะ โดยมี
Uruguay
-  Argentina
-  Brazil
-  Paraguay



 ต่อมาเพื่อนๆควรจะทราบว่าMERCOSUR คืออะไร



 วัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง MERCOSUR  คืะอะไร
1. เปิดเสรีทางการค้าภายในภูมิภาค (Trade Liberalization Program)

2. กำหนดนโยบายการค้าและอัตราภาษีศุลกากรต่อประเทศนอกกลุ่มในลักษณะเดียวกัน (Common External Tariff)
3. ประสานและสร้างความกลมกลืนด้านนโยบายเศรษฐกิจของชาติในระดับ มหภาค(Gradual Coordination of Macroeconomic Policies)
4. การออกกฎระเบียบเพื่อนำปัจจัยและทรัพยากรการผลิตมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Adoption of Sectorial Agreements)










สิ่งต่อมาที่ควรทราบคือนโยบายการค้า ว่าเป็นอย่างไร



 สิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลย คือ อุปสรรคและปัญหา ที่เพื่อนๆควรจะทราบกันนะค่ะ




สวัสดีครับ ผม นายจตุพร  วันนี้ได้นำงาน ที่ได้รับมอบหมายจาก อ. เกี่ยวกับ วิชา Inter Trade theory มาอัพให้เพื่อนๆดูกัน โดยหัวข้องานในครั้งนี้เกี่ยวกับ AEC



                                                อาเซียนและประชาชมเศรษฐกิจอาเซียน   
                                           AEC:  ASWAN Economic Community






                        AEC เป็นการพัฒนามาจากการเป็น สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Association of South East Asian Nations : ASEAN) ก่อตั้งขึ้นตามปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) เมื่อ 8 สิงหาคม 2510 โดยมีประเทศผู้ก่อตั้งแรกเริ่ม 5 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ต่อมาในปี 2527 บรูไน ก็ได้เข้าเป็นสมาชิก ตามด้วย 2538 เวียดนาม ก็เข้าร่วมเป็นสมาชิก ต่อมา 2540 ลาวและพม่า เข้าร่วม และปี 2542 กัมพูชา ก็ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกลำดับที่ 10 ทำให้ปัจจุบันอาเซียนเป็นกลุ่มเศรษฐกิจภูมิภาคขนาดใหญ่ มีประชากร รวมกันเกือบ 500 ล้านคน



                                                                       โดยให้แต่ละประเทศใน AEC ให้มีจุดเด่นต่างๆดังนี้
พม่า :
สาขาเกษตรและประมง
มาเลเซีย : สาขาผลิตภัณฑ์ยาง และสาขาสิ่งทอ
อินโดนีเซีย : สาขาภาพยนต์และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้
ฟิลิปปินส์ : สาขาอิเล็กทรอนิกส์
สิงคโปร์ : สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ และสาขาสุขภาพ
ไทย : สาขาการท่องเที่ยว และสาขาการบิน (ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง
ASEAN)






            2.1.1 การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว จะนำไปสู่การใช้กฎระเบียบ 
การค้าในประเทศสมาชิกทั้งหมดเป็นอย่างเดียวกัน (Harmonization of Rules 
and Regulations) ทั้งในด้านมาตรฐาน คุณภาพ ราคา อัตราภาษี รวมถึงกฎ
ระเบียบในการซื้อขาย การขจัดมาตรการและข้อกีดกันต่างๆ รวมถึงการมีมาตรการ
อำนวยความสะดวกทางการค้า เงื่อนไขการเคลื่อนย้ายบุคคลสัญชาติอาเซียน 
ประเภทบริการและการลงทุนที่เสรี 
          2.1.2 การสร้างอาเซียนให้เป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการ
แข่งขันสูง(Highly Competitive Economic Region) ในเวทีการค้าโลก 
ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โทรคมนาคม การเงินการธนาคาร 
การจัดระบบการค้าให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม และการคุ้มครองทรัพย์สิน
ทางปัญญา เป็นต้น
         2.1.3 การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมกันระหว่างสมาชิก
อาเซียน โดยพัฒนา SMEs และเสริมสร้างขีดความสามารถผ่านโครงการ
ความร่วมมือต่างๆ เช่น โครงการริเริ่มเพื่อการรวมกลุ่มของอาเซียน (Initiative
for ASEAN Integration: IAI) ในการลดช่องว่างการพัฒนาเศรษฐกิจของ
แต่ละประเทศสมาชิก
        2.1.4 การเชื่อมโยงของอาเซียนเข้ากับเศรษฐกิจโลก ด้วยการเน้น
และปรับประสานนโยบายเศรษฐกิจอาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาค ให้มี
ท่าทีร่วมกัน โดยการจัดทำเขตการค้าเสรีอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาต่างๆ 
เพื่อให้เครือข่ายการผลิต/จำหน่ายภายในอาเซียนเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ





                 เนื่องจากการเปิด AEC ทำให้มีประชากรรวมกันถึง 560 ล้านคน  จึงทำให้ประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ใน  AEC สนใจที่จะเข้ามาลงทุน


               การที่แต่ละประเทศมารวมกลุ่มทำให้มีทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น เพราะแต่ละประเทศมีทรัพยากรที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้วัตถุดิบที่ถูกและมีคุณภาพ อีกทั้งยังสามารถเลือกสถานประกอบการที่ได้เปรียบที่สุด



                       การรวมกลุ่ม AEC ยังสามารถเพิ่มกำลังการต่อรอง คือ เมื่อมีการร่วมกลุ่มกันถึง 10  ประเทศทำให้สามารถเจรจาการต่อรองในเวทีการค้าโลก WTO  เพราะเมื่อก่อนที่ยังไม่ได้รวมกลุ่มทำให้แต่ละประเทศไม่มีอำนาจในการต่อลองเวทีการค้าโลกได้


                    ผลกระทบเชิงบวก
1.             การลดและยกเลิกมาตรการทางภาษีในปี 2553 เป็นร้อยละ 0 ทั้งหมดยกเว้นรายการสินค้าอ่อนไหว
และอ่อนไหวมาก (Sensitive and Highly Sensitive) ของกลุ่มอาเซียน 6 รวมทั้งประเทศไทย และ 2558 สำหรับกลุ่ม CLMV เป็นการอุปสรรคทางการค้าและส่งเสริมให้อาเซียนเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ เป็นการเพิ่มโอกาส
ร้อยละ 22.7 ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของไทย (เพิ่มจากร้อยละ 20 ในปี 2552)
                2.  ต้นทุนในการผลิตของไทยต่ำลง สามารถนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางที่ใช้ในการผลิต
ได้ในราคาที่ถูกลง
                3.  เป็นการสร้างเสริมโอกาสการลงทุนเมื่อประเทศอาเซียนมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนได้เสรีมากขึ้น
                4.  เพิ่มพูนขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย เมื่อมีการใช้ทรัพยากรการผลิตร่วมกัน/เป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับอาเซียนอื่นๆ
                5.  เพิ่มอำนาจการต่อรองของไทยในเวทีการค้าโลก


                      ผลกระทบเชิงลบ
1. สินค้าของประเทศอาเซียนอื่นเข้าสู่ตลาดไทยได้โดยไม่มีภาระภาษี ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องแข่งขันมากขึ้น แต่ที่ผ่านมาไทยกลับมีมูลค่าการส่งออกไปยังอาเซียนสูงกว่าการนำเข้าจากอาเซียน
2. ในด้านการลงทุน หากประเทศไทยไม่มีการพัฒนาปัจจัยพื้นฐาน (Infrastructure) ประสิทธิภาพ
การผลิตของแรงงาน (Labor productivity) และไม่มีการปรับปรุงกฎระเบียบกฎหมายให้มีความทันสมัยไม่เป็น

อุปสรรคต่อนักการลงทุน อาจทำให้มีการโยกย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังประเทศอื่นๆใน
ASEAN ที่เหมาะสมกว่า
                3. การเคลื่อนย้ายแรงงานได้อย่างเสรี อาจทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของแรงงานมีฝีมือของไทยไปประเทศที่ให้ค่าตอบแทน สูงกว่า เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และบูรไน และต้องจ้างแรงงานต่างด้าวจากประเทศแรงงานถูกกว่าเข้ามา อาจก่อปัญหาด้านสังคม และเนื่องจากทิศทางนโยบายของไทยคือ การเป็น “รัฐสวัสดิการ” ทำให้งบประมาณของรัฐส่วนหนึ่งจะไปเป็นสวัสดิการของแรงงานต่างด้าว
                4. ตลาดสินค้าในประเทศ (Domestic Market) หากตลาดภายในของไทยยังไม่มีกลไกในการป้องกันไม่ให้สินค้าคุณภาพต่ำกว่าที่ผลิตได้ในประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นเข้ามาขายในประเทศมากขึ้น ก็จะทำให้นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพสูงขึ้นอาจเกิดปัญหาอุปสรรคได้ เนื่องจากไม่มีตลาดภายในประเทศรองรับ รวมทั้งอาจส่งผลทางจิตวิทยาแก่ผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตได้



                 ขอบคุณ ทุกคนที่สนใจ  หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะครับ